นับว่าเป็นร้านที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน สำหรับ iberry garden ร้านไอศกรีมชื่อดัง ของนักพูดเดี่ยวไมโครโฟนชื่อดังอย่าง โน้ส- อุดม แต้พานิช โดยสถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นแลนด์มาร์คของจังหวัดเชียงใหม่ ที่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติ ที่ไปเยือนจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้องแวะเช็คอิน ถ่ายรูป และรับประทานไอศกรีมแสนอร่อยจากร้านของ โน้ส- อุดม ให้ได้สักครั้ง
แต่ล่าสุดร้าน iberry garden ได้กลายเป็นเพียงตำนานไปแล้ว เมื่อเจอวิกฤตโควิด-19 พ่นพิษอย่างจัง ทำให้โน้ส-อุดม ตัดสินใจประกาศปิดกิจการ iberry garden ที่มีอายุ 13 ปี หลังจากพยายามต่อสู้และยื้อมานานกว่า 2 ปี แต่ก็ทนฝืนต่อไปไม่ไหว
ทั้งนี้ เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ เดี่ยว บอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไป เบื้องหลังกว่าจะเป็น ร้าน iberry garden ที่เคยมีผู้คนแวะเวียนเที่ยวเล่นเป็นจำนวนมาก แต่เพราะโควิด-19 ทำให้ตอนนี้ร้านไอติมไม่ต่างอะไรจากสุสานเก้าอี้
“ผมมีโอกาสไปเชียงใหม่ครั้งแรกประมาณปี 2545 เกิดความหลงใหลเสน่ห์ของเชียงใหม่ เหมือนกับตกหลุมรัก ทำไมถึงเป็นจังหวัดที่น่ารักอย่างนี้ พยายามไปบ่อยขึ้น ยิ่งไปซ้ำ ก็ยิ่งรู้สึกตกหลุมลึกไปเรื่อยๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น…อยากไปอยู่ที่นั่น
.
ผมชอบเชียงใหม่เพราะที่นี่มีธรรมชาติอยู่ใกล้ตัว ดอยสุเทพห่างจากเมืองแค่ 15 นาที แม่น้ำปิงถัดไปอีก 10 นาที ขับรถออกไปหน่อยนึงก็ถึงแม่ริม บนนั้นมีน้ำตกด้วย แม่แตง แม่ออน ม่อนแจ่ม หรือถ้าอยากเจอธรรมชาติจริงๆ จังๆ ก็เชียงดาว จังหวัดนี้เขามีอากาศหนาว มีช่วงฤดูหนาว ถึงแม้บางปีไม่หนาว แต่ช่วงกลางคืนก็ยังมีอากาศเย็นสบาย
.
อาหารเหนือก็ถูกปากมาก เพราะผมชอบกินผักกินน้ำพริก อัธยาศัยของคน จังหวะการพูดของเขา สำเนียงภาษา ผมชอบเมโลดี้แบบนี้ สูงๆ ต่ำๆ ช้าๆ เนิบๆ ที่สำคัญสาวเหนืองดงามสบายตา เหมือนมีดอกไม้บานอยู่ทั่วเมือง
.
ที่นี่มีมหา’ลัยอยู่ใกล้ ปัญญาชนและบรรดาศิลปินต่างๆ อยู่ในละแวกเดียวกัน มันเป็นเหมือนคอมมูนิตี้ของคนที่ชอบชีวิตแบบนี้ เหมือนเป็นซานฟรานฯ เวอร์ชั่นไทย ภูมิประเทศสูงๆ ต่ำๆ บรรยากาศมันถูกจริต
.
ผมลองไปอยู่ระยะสั้นๆ ชิมลางหนึ่งเดือนก่อน เช่าโรงแรมเชียงใหม่ ออร์คิด รถก็ไม่มี ใช้วิธีขึ้นรถแดงไปไหนมาไหนเอา หลังจากนั้นก็เริ่มสนิทกับพนักงานโรงแรม เข้าๆ ออกๆ เห็นหน้ากันจนเบื่อ เขาเลยให้ยืมมอเตอร์ไซค์ขี่ ไปแรดๆ รอบๆ เมือง ตามตรอกซอกซอย ได้เห็น unseen ที่น่าค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ
.
พอกลับมากรุงเทพฯ ก็ไตร่ตรองดูว่าจะอยู่ได้จริงมั้ย กลับขึ้นไปอีกรอบหนึ่งอยู่นานกว่าเดิม ครั้งนี้ไปเช่าหอพักชื่อ ธีรพร แมนชั่น อยู่ในซอยวัดอุโมงค์ ที่นี้เอารถจิ๊ปขึ้นไปด้วย ไปสำรวจภูมิประเทศโดยรอบ ขึ้นดอย ลงดอย ก็มีความมั่นใจว่า อยู่ได้…ต้องการจะมีบ้านที่นี่…คราวนี้ก็เป็นเรื่องของการหาทำเล
.
ตอนนั้นตอบตัวเองชัดเจนว่าอยู่นอกเมืองมากไม่ได้เพราะทำกับข้าวไม่เป็น ไม่มีแหมะก็ไม่มีอะไรกินแน่นอน งั้นก็ต้องอยู่ใกล้เมือง ใกล้ตลาด ใกล้กาดพะยอม ใกล้มหรสพอย่างเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว
มีโรงหนัง ใกล้สนามฟุตบอล มช. ไปขอเตะบอลกับเขาได้ ใกล้กาดเชิงดอย ใกล้ มช. สาวๆ เยอะดี ใกล้วอร์มอัพ ไปแรดแล้วปั่นจักรยานกลับบ้านได้ เผอิญไปเจอที่ดินตาบอดแถวนั้น เป็นที่ทิ้งขยะของหมู่บ้านนันทวัน ก็เลยไปขอซื้อเขาแล้วสร้างบ้านหลังเล็กๆ ขึ้นมาหลังหนึ่ง
.
ชีวิตที่อยู่ที่นั่นเป็นชีวิตช้าๆ ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน วันๆ เที่ยวธรรมชาติ เยี่ยมบ้านศิลปิน นั่งคาเฟ่ มีคาเฟ่ขวัญใจนักศึกษาที่ผมชอบไปคือร้านสวนนม เจ้าของเป็นอาจารย์สอนวิชาเซรามิกใน มช. คนก็ไปนั่งกินขนมปังจิ้มนมในถ้วยเซรามิกที่เขาปั้น ในร้านก็จะมีน้องๆ นักศึกษาหน้าตาจิ้มลิ้มเป็นบรรยากาศ มันเป็นบรรยากาศในฝัน ตอนนั้นยังมีคาเฟ่ไม่ค่อยเยอะ ร้านกาแฟก็มีน้อยมาก สตาร์บั๊กส์ยังไม่มีเลย มีแต่ แบล็คแคนยอนต์กับกาแฟวาวี แต่ผมเป็นคนไม่กินกาแฟ ไปนั่งแล้วไม่รู้จะกินอะไร
.
ผมเป็นคนกินไอติม ชอบกินไอติม เลยถามคนที่นั้นว่า ถ้าไปกินไอติมไปกินร้านไหน อ๋อ…ไอติมกดกระดิ่งอยู่นิมมานซอย 5 เป็นบ้านอยู่อาศัยธรรมดา ขายไอติมที่ทำเอง มีตู้เย็นตั้งอยู่ตู้เดียว พอกดกระดิ่งหน้าบ้าน เขาจะเดินออกมาขาย
.
ในใจผมคิดว่ามันน่าจะมีร้านไอติมในนิมมานบ้าง เพราะกูหากินไอติมผลไม้ที่นี่ไม่ได้เลย นอกจากไอติมป่าตันที่เข็นขาย มันไม่มีจริงๆ นะ
.
ก็เลยเอาวะ กูรู้อาชีพกูแล้ว กูขายไอติมดีกว่า กูจะขายไอติมที่เชียงใหม่นี่แหละ มาอยู่แล้วมีอะไรทำ ไม่ใช่ลอยชายไปวันๆ เปิดร้านไอติมแล้วกัน พอมีงานค่อยลงไปกรุงเทพฯ
.
พอคิดได้ว่าจะทำร้านไอติม ตัวผมชอบกินไอติมไอเบอร์รี่อยู่แล้ว เลยจะไปขอซื้อแฟรนไชส์ ตอนนั้นคุณปลาที่ยังไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า ไม่มีนโยบายขายแฟรนไชส์ให้กับคนนอกครอบครัว เขาอยากทำกันเอง เพื่อที่จะได้ควบคุมคุณภาพได้
.
ไม่ย่อท้อ ไม่ได้ไอเบอร์รี่ก็ไม่เป็นไร ยังคงมองหาทำเลตั้งร้าน ก็มีคนมานำเสนอให้เช่าทั้งพื้นที่ในห้าง ตึกแถวหัวมุมถนน ในโครงการนู้นนี้นั้น ที่คนเดินเยอะๆ แต่ผมก็มีคำตอบในหัวว่าถ้าผมมีร้านไอติมสักร้าน แล้วเป็นร้านที่เหมือนร้านอื่น อย่างนั้นไปนั่งร้านเขาดีกว่า จะมีร้านเหมือนกันเพิ่มไปทำไม
.
ผมจะทำร้านนี้ด้วยปัจจัยเดียวเท่านั้นคือจะเป็นร้านไอติมในสวน ถ้าไม่ใช่ ผมไม่ทำ
.
มีอยู่คืนหนึ่งขับรถหลงไปในนิมมานซอย 17 หรือชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่าซอยสายน้ำผึ้ง ซึ่งตอนนั้นยังเป็นซอยที่มีแค่บ้านพักอาศัย แต่ก็มีร้านเหล้าต้นไม้รกครึ้ม ขึ้นป้ายที่ไม่ใช่ชื่อร้านว่า “เซ้ง”
.
ผมกับเพื่อนเลยลองเข้าไปนั่ง เพื่อนก็กินไป เราก็สำรวจรอบๆ มันเป็นร้านเหล้ากึ่งหมูกระทะต้นทุนต่ำ โต๊ะเก้าอี้เหมือนไปรับบริจาคมาจากวัดสวนแก้ว หรือมีอะไรในบ้านก็เอามาวางถมๆ ให้ดูว่าตกแต่งแล้ว แต่เรื่องนั้นไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่ในร้านนั้นมีศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่เต็มไปหมด มีจอมปลวก ปักธูป คล้องผ้าสามสี บรรยากาศไม่น่าเป็นที่กินเหล้าเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เป็นตำหนักทรงจะเหมาะกว่า เดินเข้าไปแล้วให้ความรู้สึกไม่สบายใจคล้ายเข้าบ้านผีสิง
.
ผมเลยลองเข้าไปคุยกับเจ้าของร้าน แต่เขาไม่รู้ว่าผมมาดูที่เพื่อเปิดร้านไอติมไง เขานึกว่ามาเที่ยวเฉยๆ ก็เลยเล่าให้ผมฟังว่า เวลามานอนเฝ้าร้าน จะมีลุงแก่ๆ มาเข้าฝันประจำ ลุงบอกว่าไม่ชอบให้ขายเหล้า พูดแบบนี้เดิมๆ ซ้ำๆ ผมเลยถามเขาว่า แล้วคุณเลิกขายเหล้ามั้ย เขาบอกว่าไม่เกี่ยวกัน เขาไม่เชื่อ
.
อีกเรื่องที่เขาเล่าฟังคือ คืนหนึ่งเขาเดินไปเสิร์ฟเบียร์ จังหวะที่เขาวางเบียร์สองขวดลงบนโต๊ะ ลูกค้ามองขึ้นไปบนต้นไม้ด้านหลังเขา แล้ววางเงินค่าเบียร์ทิ้งไว้บนโต๊ะ แล้วลุกเดินออกจากร้านไปเลย เบียร์ไม่แตะ ท่ามกลางความงุนงงของผู้เสิร์ฟ หลังจากนั้นหลายวัน มีโอกาสเจอลูกค้าคนนั้นอีกที ก็เลยถามเขาว่าวันนั้นมีปัญหาอะไร เขาบอกว่าเห็นผู้หญิงห่มสไบนั่งห้อยขาบนกิ่งต้นไทร เลยคิดว่าเผ่น
ดีกว่า… สตอรี่ดีงาม น่าเซ้งจังเลยร้านนี้
.
เช้าวันรุ่งขึ้นผมเข้าไปดูร้านอีกรอบ เดินดูหน้าร้าน หลังร้าน ดูรอบๆ สภาพแย่กว่าตอนกลางวันเยอะ ซาวน์เสียงชาวบ้านแถวนั้น เขาบอกอย่ามาอยู่เลย ซอยนี้เขาเรียกกันว่า “ซอยขโมย” ขโมยเยอะที่สุดในซอยนิมมานทั้งหมด เพราะไฟทางมันไม่มี พอมืดมันก็เลยกลายเป็นที่ที่คนเข้ามาเสพนู่นเสพนี่ ส่งยา ส่งอะไรกัน อย่ามาเลย…มันลึกไป
.
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ที่ตรงนั้นมันดึงดูดผม มีต้นก้ามปูต้นใหญ่
อายุเกินห้าสิบปี มันอยู่ในนั้น ผมชอบความร่มรื่น และคิดว่ามันเป็นสวนที่เหมาะจะเอาร้านไอติมมาวางไว้ตรงนี้
ไม่ลองไม่รู้
.
เริ่มอย่างแรกเป็นเรื่องของการเจรจาขอเซ้ง ไปติดต่อขอเช่านู่นนี่ ลามไปถึงพัฒนาพื้นที่ ตอนที่จะเอาศาลเจ้าที่ออก เป็นเรื่องที่น่ากลุ้มใจตรงที่ว่าไม่มีใครกล้าไปย้ายศาล ผมไปจ้างคนพื้นที่ก็ไม่มีใครกล้ารับงาน จนกระทั่งผมไปปรึกษาพระ ท่านบอกให้ผมเจรจากับศาลเจ้าที่ตรงๆ ไปเลย ผีก็เคยเป็นคน เขาฟังออก ท่านแนะมา
.
จำได้ว่าตอนนั้นประมาณหกโมงเย็น ผมก็เริ่มการเจรจา นั่งพูดกับจอมปลวกบ้าง โคนต้นไทรบ้าง เหมือนละครช่องเจ็ดสีที่ตัวละครชอบพูดคนเดียวเป็นตุเป็นตะ “ผมจะมาขอใช้ที่ตรงนี้นะ ร้านที่ผมทำเป็นไอติม ศาลมันอาจจะไม่เข้ากับร้านไอติม เลยอยากจะขออนุญาตย้ายศาล อาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่าเดี๋ยวจะทำบุญให้ ท่านเจ้าที่ ผีสางเทวดาจะได้ย้ายจากศาลไปอยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้น”
.
ตอนพูด ขนลุกวูบวาบทั้งตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารับรู้ หรือเป็นเพราะเรากลัวถึงขีดสุด พูดเสร็จก็หันไปบอกลูกน้องสองคน ไอ้ต๊อดไอ้เติง ย้ายเลย สองคนนั้นนิ่งไม่กระดิก “มันจะดีเหรอครับเฮีย มันจะไม่เข้าตัวเรา เขาจะไม่มาหักคอ หรือเข้าสิงเราใช่มั้ยครับ” ปรากฏลูกน้องก็ไม่ทำ ผมก็ต้องโชว์แมน แสดงความเป็นผู้นำ ไปโยกไปผลักพอเป็นพิธี แต่เอาจริงคือไม่กล้ารื้อเอง แต่อย่างไรก็ต้องย้าย มานั่งคิดใจว่าใครวะที่มาย้ายศาลแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย อ้อ… ชาวมุสลิมไง ทางศาสนาเขาไม่ได้เชื่อทางนี้ ไม่เชื่อรูปเคารพต่างๆ เลยติดต่อจ้างมุสลิมมาขนย้าน ขนสบายเลย ถีบล้มคว่ำคะมำหงายอย่างกับหมอปลา (ตอนนั้นแกยังไม่ดัง) ขุด เจาะ เฉาะ แยก แหก เป็นชิ้นส่วนเหมือนศักดาทุบตึก เขาบอกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเผาทิ้งให้เรียบร้อยเลย โดนไปหลายพัน แต่คุ้มค่า เป็นคุณค่าที่พี่บังคู่ควร
.
ระหว่างที่ปรับปรุง ก่อสร้างร้าน ก็ได้บังเอิญไปเจอกับพี่ปลาในคลาสเรียนคลาสนึง ก็เริ่มสนิทชิดเชื้อกับพี่ปลา เลยเล่าให้ฟังว่าเคยติดต่อไปขอซื้อแฟรนไชส์ พี่ปลาก็เลยถามรายละเอียดว่ามันเป็นอย่างไร ทำอะไร ทำอย่างไร มีการไปดูที่ด้วยกัน จนเขาเห็นที่ เห็นแบบ เขาเลยลองให้เราเปิดกิจการดู
.
ร้านไอติมในสวนของผมจะไม่มีการทำลายต้นไม้ มีแต่ปลูกเพิ่มอย่างเดียว ว่างตรงไหนเสียบ แต่มีที่นึงหน้าร้านต้องเว้นไว้เพื่อวางของชิ้นมหึมาปลูกต้นไม้ไม่ได้
.
สาเหตุคือตอนทำเดี่ยว 7 ผมมีหมายักษ์ตัวนึงเป็นฉากหลังบนเวที หมาตัวนี้เป็นผลงานศิลปะแทนความรู้สึกของหมามองเครื่องบิน หมาตัวนี้เลยเกิดมาเป็น self portrait ตัวผมเองในช่วงเวลานั้น พอจบเดี่ยว 7 จะทิ้งก็เสียดาย ผมเลยจะเอามันมาตั้งไว้ที่ร้าน แต่ด้วยความที่ขนาดของมันใหญ่โตมาก ไม่สามารถขนย้ายได้ เลยต้องหั่น ขนย้ายอวัยวะเป็นส่วนๆ เหมือนฆาตกรหั่นศพ แล้วค่อยเอามาประกอบใหม่วางไว้ที่ร้าน
.
แต่มันก็เป็นการเอามาวางโดยไม่ได้ดีไซน์ไว้ล่วงหน้า จึงดูแน่นร้านไปหมด มองในแง่ลบถือว่าเกะกะพื้นที่นะ ผมก็ไม่ได้ชอบ แต่ถ้ามองในแง่ดี ลูกค้าชอบ บอกเป็นแลนด์มาร์ก เจอง่าย ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้ ชอบ ไม่ชอบ มันก็ไม่รู้จะเอาไปเก็บที่ไหนอยู่ดี
.
ตุ๊กตาตัวนี้มันตั้งหันหน้ามองเข้าไปในร้านเพื่อให้คนถ่ายรูปได้ เพราะหันออกมานอกร้านคนจะต้องมายืนตรงถนนแล้วถ่ายรูป จะทำให้โดนรถชนกันเปล่าๆ พอหันเข้าไปในร้านตูดมันจะไปทางบ้านเพื่อนบ้านเป็นฝรั่งชื่อโรเบิร์ต เขาซื้อตึกแถวนั้นไว้ แล้วตอนวางตุ๊กตาไปก็ไม่ได้คิดถึงข้อนี้ ร้านก็เปิดไปคนก็มาเยอะ โรเบิร์ตก็แฮปปี้ มา
นั่งกินกาแฟ ไอติม มานั่งคุย ให้ผมได้ฝึกภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ กับเขาไป
.
จนวันหนึ่งเขาก็มาบอกความในใจว่า ทุกเช้าเขารู้สึกไม่ดีเลยตื่นขึ้นมาเปิดหน้าต่างชั้นสองมาเจอตูดหมา เขาชอบร้านเราทุกอย่าง
แต่ไม่ชอบตูดหมา ฉิบหายแล้ว…เรานี่แม่งรู้สึกแย่เลย แต่จะย้าย
มันไปไว้ที่ไหนได้… เขาเลยมาเคลียร์ใจ อย่าว่างั้นงี้เลย ผมขอขายบ้านนี้ให้คุณแล้วกัน ผมก็อยากจะย้ายไปอยู่ภูเก็ตพอดี จะได้เอาเงินตรงนี้ไปจัดการที่ภูเก็ต ทีนี้มันประจวบกับพนักงานเราไม่มีที่พักพอดี ร้านก็ยังไม่มีที่เก็บสต็อก เลยซื้อเอาไว้
.
ผมเริ่มทำร้านด้วยคนไม่กี่คน ป้านวลที่เคยเป็นแม่บ้านบ้านผมที่เชียงใหม่ พอเปิดร้านก็เรียกแกมาช่วย ชวนพี่สิน สามีแกมาทำสวนที่ร้าน ผมก็ส่งป้านวลไปเรียนทำเค้กที่ไอเบอร์รี่ กรุงเทพฯ สรุปถูกจริต ป้านวลชอบทำ แล้วทำอร่อยเลย พอกลับมาก็ต้องการลูกมือ ป้านวลบอกในหมู่บ้านแกที่หางดงมีคนชอบทำขนมเยอะเลย ไปชวนมาเป็นแก๊งป้าๆ ทำกันจนผ่านโปร กลายเป็นทีม
เบเกอร์รี่ที่แข็งแรงได้มาตรฐานไอเบอร์รี่
.
iberry garden เชียงใหม่ เปิดกิจการมา 13 ปี จากพนักงานสิบคนเป็นยี่สิบคน กลายเป็นหลายสิบคน ทั้งกะเช้า กะเย็น พาร์ทไทม์ ฟูลไทม์
ช่วงที่เราขายดีๆ ลูกค้าเยอะ เริ่มถามหาของกินเล่น ก็ต้องเริ่มทำอาหารกินเล่น ของทอด สลัด คนก็เริ่มเยอะ ก็ลามปามเพิ่มพนักงานขึ้นไปเรื่อยๆ พนักงานที่เพิ่มมา ส่วนใหญ่ก็เป็นลูก เป็นหลาน เป็นญาติๆ เป็นเพื่อนนักศึกษากันทั้งนั้น ก็ทำให้ผูกพัน กลมเกลียวกันเป็นพิเศษ
.
ผมสารภาพตรงๆ ว่า กิจการนี้ไม่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งเลย แต่มันพออยู่ได้ ได้กำไรมาพอต่อเติม เปลี่ยนหลังคา เปลี่ยนระแนงไม้ ทำแว่น/ทำผ้าพันคอให้หมาตามเทศกาล เพ้นต์ลายการ์ตูนข้างๆ ร้าน ลงต้นไม้ เปลี่ยนหญ้า ปาร์ตี้พนักงาน มีไป outing กัน กำไรแจกโบนัสไม่เคยเหลือ ถามว่าหยุดอุดมได้มั้ย ไม่มีทาง เรียกได้ว่าขาดทุนต่อเนื่อง กำไรฮวบๆ ทุกๆ ปี
.
มันเหมือนผมทำร้านนี้เพื่อสานฝันการมีร้านไอติมในสวน เอาความสุข เอาความรื่นรมย์เป็นที่ตั้ง ผมได้ขึ้นไปเจอลูกค้า เจอแฟนเดี่ยว เจอน้องๆ พนักงานพ่ออุ้ยแม่อุ้ยที่รักกันเหมือนเป็นครอบครัวไปแล้ว น้องๆ ทุกคนก็ได้มีงานทำ ไปๆ มาๆ ร้านผมก็เหมือนศูนย์
ศิลปาชีพนิมมานเหมือนกันนะ
.
เราก็คงจะอยู่กันไปแบบนี้อีกนานๆ
ถ้าโลกใบนี้ไม่มีโควิด-19
.
เมื่อไม่มีลูกค้า ร้านไอติมก็กลายเป็นสุสานเก้าอี้ เพราะเดิม 80% ของลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน เกาหลี ยุโรป คนไทยที่เป็นนักท่องเที่ยว 15% ที่เหลือคือคนในพื้นที่ ปิดร้านมาจะสองปีแล้ว กำลังจะได้กลับมาเปิด แต่ก็ต้องปิดอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นโยบายของเรา ยังจ่ายเงินเดือนพนักงานอยู่ เพราะถ้าไม่มีร้าน ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปสมัครงานที่ไหนเหมือนกัน ทุกร้านมีแต่เอาคนออก ไม่มีรับเพิ่ม
.
จะสองปีที่เราลากถูลู่ถูกังกันมา จนสายป่านมันตึงเปรี๊ยะ ถ้าอยากรู้ว่ามันตึงแค่ไหน ให้ไปดูคลิปใน tiktok ที่ตามหาสายป่านก็แล้วกัน สายป่านไม่เหลือแล้ว สายป่านอยู่ไหน ไม่ไหวแล้ว มันขาดผึ่ง ไปต่อไม่ไหวจริงๆ (พยายามสอดใส่มุขให้ดูไม่หม่นเกินไป แต่นาทีนี้ก็ได้แค่นี้จริงๆ ครับ)
.
ไม่ว่าท่านจะเคยมากินไอติม มาถ่ายรูปเล่น มาซื้อของที่ระลึก แวะมานอนเปลพักให้หายเหนื่อย มาใช้สุขาก่อนที่จะออกเดินทางไปยังสถานที่อื่น เรายินดียิ่งที่เคยได้รับใช้ท่านไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง
.
วันนี้ร้าน iberry garden เชียงใหม่ จำเป็นต้องปิดตู้ ปิดเตา
เก็บกระเป๋าและแยกย้ายไปตามทาง คงเหลือไว้เพียงความทรงจำดีๆ ที่เรามีต่อกัน ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เคยให้การสนับสนุนร้านของเรา”
.
จำใจลา
บุญรักษาทุกๆ ท่านครับ
อุดม แต้พานิช
ขอบคุณ ที่มา : เดี่ยว