เป็นข้อความที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกเศร้าใจ สะเทือนใจ ฯลฯ อย่างบอกไม่ถูก กับข้อความที่คนในวงการบันเทิงอย่าง “เจี๊ยบ” ลลนา ก้องธรนินทร์ ได้เขียนให้ทุกๆคนได้อ่านไนฐานะ “คุณหมอในห้องฉุกเฉิน”
ถึงประสบการณ์ด่านหน้าที่วันวันหนึ่งเธอต้องเจอกับผู้ป่วยในเคสฉุกเฉินต่างๆมากมาย ที่ไม่ใช่แค่ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพราะคำว่า “ผู้ป่วยเคสฉุกเฉิน” ในแต่ละวันที่ “หมอเจี๊ยบ” นักแสดงดีกรีคุณหมอคนนี้ต้องเจอในทุกๆวันแล้ว นอกจากผู้ป่วยโควิด ยังมีเคสผู้ป่วยที่เกิดจากอุบัติเหตุ , คนป่วยที่มีอาการหนัก ฯลฯ ที่ “หมอเจี๊ยบ” ถึงกับเผยว่า…สถานการณ์โควิดในตอนนี้ ยอมรับว่ามันทั้งแย่และหนักกว่าการระบาดในครั้งก่อนๆเป็นพันเท่า!!
ซึ่งไม่เพียงเท่านั้น “หมอเจี๊ยบ” ยังได้เล่าประสบการณ์ที่ตนได้เจอกับผู้ป่วยในเคสต่างๆ หรือแม้แต่การทุ่มเทแรงกายแรงใจของคุณหมอ พยาบาล ผู้ปฏิบัติงานทางการแพทย์ รวมถึงเคสผู้ป่วยโควิดรายหนึ่งที่ได้จากโลกใบนี้ไปไม่มีแม้โอกาสร่ำลาพ่อ-แม่หรือคนที่รัก และผู้ป่วยเคสนี้มีอายุมากกว่าหมอเจี๊ยบเพียง 1 ปี (หมอเจี๊ยบ อายุ 33 ปี) และผู้ป่วยไม่มีโรคประจำตัวอะไรเลย
“วันนี้เจี๊ยบขอมาเล่าประสบการณ์ด่านหน้าให้ฟังกันนะคะ ในฐานะหมอในห้องฉุกเฉิน เจี๊ยบคลุกคลีกับเคสผู้ป่วยโควิดมาตลอดซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้ต้องยอมรับว่ามันทั้งแย่และหนักมากกว่าการระบาดครั้งก่อนๆ เป็นพันเท่าเลยค่ะ
อย่างที่ทราบกันว่าคนไข้โควิดที่อาการหนักแต่ไม่มีเตียงต้องนอนรอเตียงกองกันอยู่ล้นหน้าห้องฉุกเฉิน แต่อย่าลืมว่า ที่โรงพยาบาลไม่ได้มีเฉพาะเคสโควิดอย่างเดียว ยังมีอุบัติเหตุและคนเจ็บป่วยหนักที่อันตรายถึงชีวิตที่ต้้องเข้ารับการรักษา
ไม่กี่วันมานี้มีคนไข้อาเจียนพุ่งเป็นเลือด หัวใจหยุดเต้น การที่หมอจะกระโดดเข้าไปช่วยชีวิตปั๊มหัวใจทันทีเหมือนเมื่อก่อนก็ม่สามารถทำได้ ต้องไปใส่ชุด PPE ก่อนและยังมีรายละเอียดในขั้นตอนการรักษาอื่นๆอีกหลายอย่างมากขึ้น คนทำงานก็กดดันด้วยเวลาที่ต้องเร่งรีบและด้วยปริมาณเคส บางครั้งผู้ป่วยและญาติไม่เข้าใจคิดว่ามัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบมารักษา แต่ขณะนั้นพวกเราทุกคนกำลังเตรียมความพร้อมป้องกันเพื่อเข้าไปช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างปลอดภัย ล่าสุดเพื่อนร่วมงานเจี๊ยบน้องพยาบาลเป็นลมในชุด PPE ระหว่างกำลังทำงาน
ห้องแยกโรคป้องกันการแพร่เชื้อ (ห้องความดันลบ) ที่ใช้สำหรับเคสผู้ป่วยโควิดมีจำกัด ไม่พอกับจำนวนผู้ป่วย จนคนไข้โควิดต้องออกมานนอนรักษาอยู่ด้านนอก ทำได้เพียงเว้นรยะห่าง (ที่ไม่ห่าง) ระหว่างเตียง ผู้ป่วยใกล้เคียงรวมถึงเจ้าหน้าที่ก็ต้องเสี่ยงติดเชื้อไปตามกัน เพราะห้องแยกโรคเต็มหมด และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากค่ะ เจี๊ยบเจอเคสที่คนไข้อายุมากกว่าเจี๊ยบแค่ปีเดียว ไม่มีโรคประจำตัวอื่นใดๆ แต่ก็เป็นหนักจนเสียชีวิตลำพังบนเตียง ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาใคร ญาติพี่น้องไม่สามารถเข้ามาพบได้ ลองนึกดูว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวหรือคนใกล้ตัวของตัวเอง จะทรมานใจขนาดไหน
เคสโควิดที่ป่วยหนักจนจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจก็เกิดขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ทำงานใส่ท่อช่วยหายใจให้คนไข้โควิดมายังไม่มีเคสไหนเลยที่รอด ทุกครั้งที่จะต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้ผู้ป่วยเจี๊ยบรู้สึกเศร้ามาก เพราะตัวหมอเองยังไม่รู้เลยว่าคนไข้จะมีโอกาสได้กลับบ้านไหม ที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือจับมือและบอกคนไข้ว่า “เดี๋ยวหมอจะใส่ท่อช่วยหายใจให้ตอนต่นมาจะมีท่ออยู่ในปากนะ”
มีเคสนึง คนไข้เป็นคนขับรถแท็กซี่ คุณลุงเล่าว่า ผู้โดยสารให้ไปส่งที่รพ. ระหว่างทางก็ถามผู้โดยสารว่าไปส่งที่โรงพยาบาลเป็นอะไร เป็นโควิดหรือเปล่า? ผู้โดยสารเลี่ยงไม่ตอบ คนขับก็ไม่กล้าให้ลงจากรถเห็นผู้โดยสารขึ้นมานั่งแล้ว จึงไปส่งให้ถึงที่หมาย หลังซักประวัตเสร็จไม่นานคุณลุงก็อาการหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เป็นอีกเคสที่จากไป เจี๊ยบไหว้พระขออธิษฐานให้คุณลุงสงบสุขอยู่บนสวรรค์นะคะ
สถานการณ์ในตอนนี้หนักมาก บางเคสที่เจออายุไม่เยอะ ไม่มีโรคประจำตัวมาก่อนก็อาจมีโอกาสอาการหนักได้ ความเสี่ยงมีอยู่ทุกที่ เจี๊ยบขอเป็นหนึ่งเสียงในฐานนะแพทย์และประชาชนคนหนึ่ง ขอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และทั่วถึงให้ประชาชนทุกคนอย่างเร็วที่สุดเถอะนะคะ เพราะแต่ละวินาทีที่ช้าไปคือชีวิต หมอทุกคนอยากเห็นคนไข้ได้กลับบ้านไปหาคนที่เค้ารัก”
ขอบคุณภาพจาก IG : jeab_lalana