KAZZMAGAZINE
ความทุ่มเทในการทำงานหนักของ ” เชียร์ ฑิฆัมพร “
งานในวงการบันเทิงแน่นขนาดนี้ทำไมถึงตัดสินใจทำธุรกิจของตัวเอง
เรามองว่างานในวงการบันเทิงมันก็พัฒนาเราเป็นชีวิตของเรา แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าเราอยากจะพัฒนาอะไรต่อ ต้องบอกว่าเชียร์มองว่างานในวงการบันเทิงตัวเราเป็นแบรนด์ตัวเราเป็นสินค้าตัวเอง วันใดวันหนึ่งถ้าเราไม่ทำแบรนด์ของเราก็ต้องปิด คล้ายๆ กับเราไม่ได้มีโฆษณาที่สม่ำเสมอให้คนได้เห็นเราบ่อยๆ คนก็จะลืมตรงนี้มันมีคนใหม่ๆ มาทุกวัน ถ้าวันหนึ่งเราป่วยเราทำอะไรไม่ได้แล้วจะอย่างไรต่อถูกไหมคะ แต่ถามว่าเรารักไหมเรารักนะคะเราจึงทำอยู่ เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างที่เมื่อวันหนึ่งเราหยุดทุกอย่างมันยังเดินต่อได้โดยที่เราไม่ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในนั้นมันก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำธุรกิจ เราเลยอยากจะเริ่มสร้างตรงนี้ งานในวงการมันเป็นงานที่สนุกมาก มีความสุขมากและเวลาก็ผ่านไปเร็วมากเช่นกันอย่างเชียร์หันมาอีกทีคือ เห้ย เราอยู่มา 15 ปีแล้วเหรอ คือถ้าเราปล่อยเวลาไปนานกว่านี้เราจะรู้ตัวอีกทีเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นมันสร้างอะไรไม่ทันแล้วนะก็เลยเป็นที่มาของสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดนั่นก็คือเรื่องของสุขภาพ ความสวยความงามเพราะมันก็เป็นอะไรที่คลุกคลีกับเรามาประมาณหนึ่ง ถ้าเราจะไปเริ่มต้นอะไรที่มันไกลตัว ซึ่งอาจจะเป็นมูลค่าสูงกว่านี้ในการทำธุรกิจนั้นๆ แต่เราไม่ได้เก่ง ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนั้น เชียร์ว่ามันไกลมากไป เชียร์รู้สึกว่าสิ่งที่จะสำเร็จได้ง่ายที่สุดคือเราต้องทำอะไรที่มันอยู่บนพื้นฐานของความสุข ทำแล้วไม่รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำงานเหมือนเวลาถ่ายละครยันเช้าแต่เราไม่รู้สึกว่าเราลำบาก เพราะเรารู้สึกสนุกและก็มีความสุขที่ได้ทำมัน จริงๆ เคยคิดว่าจะต้องมีจุดที่ลิมิตการทำงานในวงการบันเทิงของตัวเองไว้นะคะ ลิมิตในที่นี้ไม่มีทางเลิกทำได้หรอกค่ะถ้าถามเชียร์นะ อาจจะจำกัดเวลาในการทำมันหรือแค่ไม่ได้มาเต็มตัวทั้งหมดเท่านั้นเองค่ะ
ไม่ว่าจะงานไหนก็ทุ่มเทมากเสมอ
เคยวางเป้าหมายกับตัวเองไว้ว่าจะทำงานในวงการน้อยลงตอนอายุ 33 กลายเป็นว่าตอนนี้ธุรกิจที่เราวางไว้สเต็ปมันเริ่มใหญ่และมันต้องลุยแล้วในเวลานี้ นั่นเป็นที่มาของทำไมเชียร์ต้องถอนตัวจากละครไปหนึ่งเรื่องในปีนี้ เสียดายเนอะแต่ว่ามันจำเป็นจริงๆ ค่ะเพราะว่าเราต้องไปทำหน้าที่ตรงนั้นเต็มตัวขึ้นแล้ว เชียร์กับเพื่อนวางแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ถ้าเราไม่มาเต็มที่กับตรงนี้ทุกอย่างมันก็จะต้องขยับไปอีกเหมือนมันเป็นเวลาที่เราต้องทำแล้วจริงๆ ค่ะ เราไม่สามารถเอาความสำเร็จของตัวเองเป็นที่ตั้งทั้งหมดได้มันต้องมองไปถึงทีมงาน ลูกน้องเหมือนมีครอบครัวเพิ่ม เราก็อยากให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกันและพวกเขาเองก็มองมาที่หัวแถวว่าเรากับเพื่อนเราจะพาไปอย่างไร ถ้าเรายังเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและเอาเวลาไปทุ่มเต็มที่กับอย่างอื่นแล้วคนข้างหลังเราล่ะจะเป็นอย่างไร
สามารถซื้ออ่านต่อได้ใน Kazz Magazine เล่ม 142 ฉบับเดือน พฤษภาคม
สั่งซื้อได้จากที่นี่ คลิ๊ก !
หรือดาวน์โหลด E-Book