หลังจากข่าวการเสียชีวิตของ ‘Sulli’ ศิลปินเกาหลีในสังกัด SM Entertainment ที่ทุกข์ทรมานและภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรงจากการถูกบูลลี่ในโลกโซเชียลมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) ขึ้นในเกาหลี และหลายฝ่ายเริ่มที่จะมองหามาตราการเอาผิดอย่างจริงจังกับคนที่ชอบบูลลี่คนอื่นโนโลกโซเชียล
ซึ่งก็มีศิลปินในวงการบันเทิงเกาหลีใต้หลายคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผ่านสื่อโซเชียล อาทิ T.O.P หนึ่งสมาชิกวง BIGBANG ที่ได้แชร์ภาพโพสต์ของผู้ใช้คนอื่นบน Instagram และเขียนคำบรรยายใต้ภาพว่า “ความคิดเห็นที่เป็นอันตรายคือการฆาตกรรม เสรีภาพมาพร้อมกับความรับผิดชอบ” รวมถึง ‘Minah’ นักแสดงและสมาชิกวง Girl’s Day ที่ได้โพสต์ภาพหน้าจอของคนที่แสดงความคิดอันตรายที่ว่า “Why, do you want to go next, you *****” เห็นผ่านทาง Instagram ของเธอหลังจากที่เธอโพสต์ภาพขาวดำของนกนางนวลตัวเดียวที่บินอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ แต่หลายคนก็เข้าใจดีว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นการไว้อาลัยถึงการจากไปของ Sulli ทันทีที่ได้อ่านความคิดเห็นที่เป็นอันตราย สาว Minah ก็โพสต์ข้อความขู่จะเอาเรื่องกับเจ้าของคอมเม้นต์นี้ทันที!
ซึ่งการแสดงความคิดเห็นอันตรายบนโลกโซเชียลหรือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ โดยใช้อุปกรณ์ดิจิตอล เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต โดยผ่านทางข้อความ SMS หรือสื่อโซเชียลอื่นๆ เช่น Facebook, Instagram, Snapchat และ Twitter ที่มีคนจำนวนมากสามารถคลิกเข้าไปร่วมดูหรือแบ่งปันเนื้อหาได้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการพิมพ์แสดงความคิดเห็นเชิงลบที่เป็นอันตรายกับผู้อื่น หรือการแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับบุคคลอื่นที่ทำให้เกิดความอับอายขายหน้าหรือความอัปยศอดสู มีการกลั่นแกล้งทางโลกโซเชียลเป็นจำนวนมากจนมองดูเป็นเรื่องปกติ และมีหลายกรณีที่เข้าข่ายเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย หรือส่งผลทำให้ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งเป็นโรคซึมเศร้า หรือรุนแรงจนถึงขึ้นฆ่าตัวตาย แล้วเหล่าคนบันเทิงในบ้านเราจะความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ ‘ไซเบอร์บูลลี่’ อย่างรุนแรงในยุคปัจจุบันนี้ มาฟังกันเลย…
คริส “จริงๆ การบูลลี่ในโลกโซเชียลทุกวันนี้มันเอาไม่อยู่แล้วในความรู้สึกคริส เราไม่สามารถยับยั้งพวกเขาได้แล้วครับ แล้วมันอาจจะรุนแรงขึ้นหรือเบาลงอันนี้เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่ผมเคยไปอ่านเจอ เขาบอกว่าความสุขของคนเรามันขึ้นอยู่กับการมองโลก คือถ้าเราสามารถทำความเข้าใจกับมัน อยู่กับมันจนได้ เรารู้วิธีการว่าเราจะคิดยังไงกับมันเราก็อาจจะผ่านมันไปได้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ง่ายหรอก มีคนมาด่าเรา มีคนมาบูลลี่เราทุกวัน มันไม่ได้ง่ายเลยที่เราจะสามารถบอกว่า ฉันไม่เป็นไรหรือฉันไม่ได้คิดอะไร ฉันจะยิ้มได้ในทุกๆ วันมันยากมากครับ มันยากมากจริงๆ แต่ในวันหนึ่งที่เราสามารถก้าวข้ามจุดนั้นไปได้แล้ว เราสามารถทำความเข้าใจกับพวกเขาได้แล้ว ผมว่าคนชนะคือคุณนะ ถ้าคุณเข้าใจได้ว่าสุดท้ายแล้วอย่างที่พวกเราเห็นเลย บูลลี่กันอยู่แค่สามวันห้าวันหรือเดือนหนึ่ง แล้วก็ลืมไปเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น อย่างในหลายๆ เคสที่ผ่านมา ถ้าเราทำความเข้าใจกับตรงนี้ได้ ผมว่าคุณคือผู้ชนะนะ ผมอยากฝากไปถึงคนที่โดนบูลลี่ ผมอยากให้เขาเข้าใจการมองโลก อยากให้เขารักตัวเองให้มากๆ รักคุณพ่อคุณแม่ให้มากๆ รักคนข้างหลังให้มากๆ ถึงจุดหนึ่งที่คุณโดนผมว่าความเข้าใจสำคัญที่สุด คุณจะฟื้นเร็วกว่าคนอื่น แล้วคุณจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย ส่วนคนที่ชอบบูลลี่ใคร ผมคงพูดได้แค่ว่าอย่าทำเลยครับ เขาไม่มีความสุขกับคุณเลย แล้ววันหนึ่งที่คุณโดนเองคุณจะไม่มีทางที่จะพูดได้เลยว่าตัวเองมีความสุข”
ชิม่อน “ถ้ารู้สึกว่าเราไม่ได้ทำหรือว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดก็ไม่ต้องไปแคร์ ถ้าสมมุติว่าเราไปแคร์สิ่งนั้นมากๆ หรือเราไปโฟกัสสิ่งนั้นมากๆ มันก็จะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ แล้วมันจะทำให้เรามาถึงจุดที่เราไม่สามารถทำงานได้ ถ้าเราไม่ต้องไปโฟกัสคอมเม้นต์ในโลกโซเชียลที่บูลลี่เราก็จะช่วยเราได้มากกว่าครับ แล้วผมอ่านเจอเยอะมากเลยที่พิมพ์บูลลี่คนอื่นในโลกโซเชียล คือถ้าคุณไม่อยู่ในจุดๆ นั้นจริงๆ จะไม่เข้าใจว่าคนที่โดนบูลลี่เขาจะรู้สึกยังไง แค่ตักเตือนเขาเบาๆ ก็พอไม่ต้องถึงขนาดไปบูลลี่อะไรขนาดนั้น”
มิกซ์ : “คือเอาจริงๆ ผมรู้สึกว่าการที่เขาพูดบูลลี่เราผ่านโลกโซเชียล โอเคเราอาจจะเก็บเอามาคิดนิดหนึ่งแหละ แต่แล้วยังไงก็ตามมันเป็นแค่สิ่งที่คนอื่นพูดถึงเราในมุมของเขา ที่เขาอาจจะไม่ได้รู้จักตัวตนของเราจริงๆ เราจะรู้ตัวเราเองอยู่แล้วว่าเราเป็นคนยังไง ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น สุดท้ายแล้วเราก็จะคิดว่าเออ…จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องไปสนใจครับ สำหรับคนที่ชอบบูลลี่คนอื่นในโซเชียลก็อยากให้ลองคิดว่าถ้าเป็นตัวเขาเองโดนด่าทั้งๆ สิ่งที่เขาเป็นมันไม่ได้ผิด เขาก็จะเข้าใจ แล้วก็อยากจะเตือนสติเขาว่าการไปบูลลี่คนอื่นมันไม่ได้เป็นผลดีกับใครเลย ไม่ได้เป็นผลดีกับคนที่เขาพูดถึง แล้วก็ไม่ได้เป็นผลดีกับเขาด้วยครับ”
เอิร์ท : “เราก็ต้องรับฟังแล้วก็ทำความเข้าใจว่าไม่มีใครเข้าใจเราเท่ากับตัวของเราเอง เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราเป็นแบบที่เขาว่าเราไหม จริงๆ แล้วการบูลลี่มันเกิดได้ทุกที่ ทุกเวลาอยู่แล้วครับ มันอยู่ที่ทัศนคติของเราว่าเราจะรับมือกับตรงนี้ได้มากน้อยแค่ไหน คืออยากให้เข้าใจโลกมากขึ้นว่าโอเคเขามีความคิดกับเราแบบนี้ เราก็ไม่ต้องห่วงเขา เราเก็บเขาไว้เป็นด้านหลังของเราไปเลย ถ้าเราอ่านไปแล้วเรารู้สึกไม่ดี เราก็ไปหาอะไรอย่างอื่นทำที่มันทำให้เรารู้สึกมีความสุขดีกว่าครับ ผมรู้สึกว่าโซเชียลเดี๋ยวนี้มันไปไกลมาก ผมอยากให้ทุกคนเลือกเสพอะไรที่มันมีประโยชน์มากกว่า ก็อยากจะฝากถึงคนที่ชอบบูลลี่คนอื่น ผมมีความรู้สึกว่าใจเขาใจเราครับ ถ้าเกิดมีคนมาว่าเราแบบนี้ แล้วถ้ามีคนไปว่าเขาแบบนี้ด้วยเขาก็คงจะรู้สึกนอยส์เหมือนกัน แต่เราไม่โต้ตอบเขาจะเป็นการดีที่สุด จริงๆ แล้วเราห้ามเขาไม่ได้นะ เราไม่รู้ว่าเขามีความรู้สึกยังไงถึงได้มาบูลลี่คนอื่นหรือต่อว่าคนอื่นในโลกโซเชียล ก็อยากให้ใช้สื่อโซเชียลอย่างมีสติมากขึ้นและไม่ทำร้ายคนอื่นจะเป็นการดีที่สุดครับ”
มายด์ : “สำหรับการบูลลี่กันในโซเชียล ถ้าเป็นมายด์จะเลือกปล่อยวาง คือมายด์เข้าใจว่าการจัดการปัญหาหรือความเครียดของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน สำหรับตัวมายด์เองถ้าให้มายด์แนะนำ มายด์เลือกที่จะปล่อยวาง เพราะว่าการบูลลี่กันในอินเตอร์เน็ตมันก็มีมาตั้งนานแล้ว เหมือนมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน ซึ่งในยุคนี้มันไม่ควรที่จะมีการบูลลี่กันแล้วบนโซเชียลหรือช่องทางไหนก็ตาม มันเป็นเรื่องของหลังแป้นพิมพ์ ที่มันไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิตประจำวันของเราถ้าเราปล่อยวางมันได้”
ออม : “สำหรับคนที่ชอบบูลลี่คนอื่น ออมรู้สึกว่าเราต้องตั้งสติเนอะแล้วก็ไม่ต้องไปโฟกัสถึงเรื่องของคนอื่น ให้เราโฟกัสแต่เรื่องของตัวเอง ในชีวิตของคนเรามันมีอีกหลายเรื่องนะที่เราจะต้องคิดและต้องทำ แต่ออมคิดว่ามันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนโฟกัสนิดหนึ่ง แล้วมันจะทำให้เรื่องของการบูลลี่กลายเป็นเรื่องที่อาจจะไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรมากเลย ออมว่าถ้าเปลี่ยนจากการบูลลี่เป็นการแนะนำหรือว่าพูดอะไรในแง่ของตรรกะที่มันเป็นจริง โดยไม่ได้ใช้อารมณ์มันจะส่งผลดีมากกว่า”
ข้อมูลบางส่วนจาก : allkpop