EXCLUSIVE TALK : ฝน ศนันธฉัตร “เพราะโอกาสที่ได้รับ”

EXCLUSIVE TALK

Special Guest : Fon Sananthachat

แรงบันดาลใจในการทำ Vlog เป็นของตัวเอง
เริ่มมากจากความชอบค่ะ ฝนชอบดูยูทูปของคนอื่นและตัวเราเองชอบไปเที่ยว เลยรู้สึกว่าเรามีโมเมนต์ที่คนมาถามและเราเล่าให้ฟังมันไม่เห็นภาพ เราเลยรวบรวมสิ่งต่างๆมาให้ดูเลยดีกว่า พอมันทำจากความชอบค่ะ มันไม่ได้เป็นรายการ โห มีกล้องตามถ่าย คนจะเห็นเราอีกมุมหนึ่ง สนุกขึ้น หรือได้รู้จักกันมากขึ้นค่ะ

เสน่ห์ของการไปท่องเที่ยว…ฝนได้อะไรจากมัน
เวลาที่เราทำงานตรงนี้ พอมีคนรู้จักก็มีคนดูแลเราเยอะ สมมุติไปออกกอง แรกๆ ไม่ได้มีใครสนใจ หลังๆ ทกคนจะต้องดีไปหมด พอเรายิ่งก้าวขึ้นมาจุดหนึ่งยิ่งมีคนอยากดูแล บางทีเราติดนิสัยมีแต่คนดูแล ร้อนมีร่มวิ่งมา ซึ่งเราไม่ได้ต้องการนะคะ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่มันตามมาจากการที่เราทำงานเยอะขึ้น อย่างแรกเวลาเราไปต่างประเทศเราเป็นโนบอดี้น่ะ เราได้กลับมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น รู้สึกว่ามันก็มีแค่นี้แหละ จริงๆชีวิตเราไมได้ต้องการใครมาเทคแคร์ เราไม่ได้มีความคาดหวังกับคนอื่นเยอะขนาดนั้น พออยู่เมืองไทย สังคมหล่อหลอมว่าเราอยากจะมีอยากจะเป็นอยากจะได้ พอไปต่างประเทศเราเป็นประชากรตัวจิ๋วที่เดินชนก็กระเด็นแล้ว (ยิ้ม)

ความสุขในการทำงานของฝนเป็นแบบไหน
ตอนทำงานในแต่ละวันขั้นตอนแรกก็คือ ฉันตื่นไปทำงาน วันนี้ทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ เราทำได้อย่างที่ผู้กำกับอยากได้ รักษามาตรฐานของเราไว้ และพอออนแอร์มีฟีดแบคดีหรือไม่ดี รับฟัง เป็นความสุขของนักแสดงค่ะ

กำลังใจที่ทำให้เราก้าวผ่านในวันที่ท้อและเหนื่อย
แฟนคลับค่ะ ฝนรู้สึกว่าเขาเหนื่อยมากเลยที่ต้องมาหา บางคนอยู่เชียงใหม่บินมากรุงเทพฯ หรือแฟนคลับจีน เรามีมีตติ้งกับแฟนคลับเขาก็บินมาหา หรือบางทีคนไทยก็บินไปตอนเราไปมีตติ้งที่อินโดเนเซีย เรารู้สึกว่าเรามีผลต่อคนๆหนึ่งมากขนาดนี้เลย มีน้องคนหนึ่งมากับคุณยาย คุณยายเขามาชมฝนว่าตั้งแต่น้องเขามาติดตามเราน้องเรียนดีขึ้นนะ น้องมีกำลังใจนะ เห็นเราเป็นไอดอล ฝนอยู่มาประมาณ 5-6 ปี จะมีแฟนคลับที่ตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัยจนตอนนี้เอาเกียรตินิยมมาฝาก (ยิ้ม) เขาบอกเราอยากเข้ามหาวิทยาลัยนี้ คอยมาขอกำลังใจ มาอัพเดทให้ฟัง เขาเรียนจบแล้วก็เอาชุดครุยมาถ่ายรูปด้วยน่ะ (ยิ้ม)

มิตรภาพของแฟนคลับ คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ตอนแรกไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร หรือ ว่ามันจะเป็นอย่างไร พอเวลาผ่านมามันเหมือนเป็นพี่น้องกันค่ะ เราไม่ได้มีกำแพงระหว่างแฟนคลับ คุยถ่ายรูปฉันสามครั้ง และคุณจะต้องหมดโอกาสละนะ คือคุณสามารถคุยอะไรกับเราก็ได้ มีโอกาสให้พูดคุยกัน คุยกันเหมือนเป็นเพื่อน เป็นพี่ค่ะ อาจจะเป็นเพราะฝนไม่ได้ตั้งว่าคุณคือแฟนคลับ ฉันเป็นนักแสดงเรามีกำแพงห่างกันแค่นี้ แต่มันจะมีจุดเล็กๆ เช่น ถ้าให้ฝนไปเกาะทุกคนเป็นผู้หญิงเรามีความเขินอาย รู้สึกว่ามันต้องมีช่องว่างเล็กๆตรงนี้ค่ะ ขอจับมือหน่อย ดูแล้วเขาไม่คิดร้ายอะไรไรเราก็ยินดี ส่งกำลังใจให้กัน

จากเมื่อก่อนถึงปัจจุบันสิ่งไหนที่แสดงเห็นได้ชัดว่าเรามีความพัฒนาแบบก้าวกระโดดมากขึ้น
ฝนรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องของโอกาสที่ได้งานหลากหลายมากขึ้นค่ะ จากตอนแรกที่เล่นกับน้องเบลล์ คนก็จะเห็นภาพแบบนั้น บางคนก็จะบอกว่า ไม่ชอบผู้หญิงคนนี้นะ เขาเข้าใจว่าเราแบ๊วเป็นอย่างเดียว แต่พอเรามาเล่นร้าย โห ร้ายจัง ทำไมคนนี้ร้ายจัง เป็น 2 กลุ่มที่เคยดูผลงานในแต่ละช่วงของเรา แต่ก็จะมีแฟนคลับที่เห็นว่าเราทำงานหลากหลายขึ้น แตกต่างมากขึ้น ได้เปิดประสบการณ์มากขึ้นค่ะ

เรื่องที่เปลี่ยนความคิดหลังจากเข้าวงการบันเทิง
ด้วยความที่ว่าไม่เคยอยากเป็นนักแสดง เด็กๆเราเลยไม่คาดหวังว่าเราจะเจออะไร เราก็ไม่เข้าใจ คนเราโตขึ้นยิ่งมีชื่อเสียง ยิ่งมีคนเข้ามาเราจะเจอคนหลากหลายมากขึ้น อาจจะมาทั้งดีและไม่ดี ทำให้มีโอกาสรู้จักคนมากขึ้น ยิ่งเจอคนเยอะๆจะดูคนออกว่าคนนี้มาแบบนี้ แต่เราก็รู้จักวางตัว ยิ่งเป็นนักแสดงข้อดีคือรักษาน้ำใจคนอื่นมากขึ้น ตอนเด็กที่ยังไม่ทำงาน จะเป็นคนแบบฉันเป็นของฉันแบบนี้ จะพูดอย่างนี้ จะทำแบบนี้ สมมุติเพื่อนมาปรึกษาเรื่องความรัก เธอไม่ต้องคิดมากช่างๆมันเถอะเราก็จะปลอบใจแบบนี้ แต่พอเราได้ทำงานได้เจอคนเยอะ เราจะรู้ว่าเวลาที่มีคนมาปรึกษาเรา เราควรทำอย่างไร เป็นอย่างไร เล่าให้ฟังหน่อย เราเป็นผู้ฟังที่ดีมากขึ้น คิดในมุมที่เขาคิด ไม่ใช่เอาเรื่องของเราไปตอบเขาค่ะ

ตำนานซีรี่ส์ฮอร์โมน ที่คนยังคิดถึงอยู่เสมอ
ฝนว่ามันมีงานใหม่ๆที่ขึ้นมาดังตลอด ถ้ามันยังอยู่ในใจของทุกคนก็ดีใจค่ะ (ยิ้ม) แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอันนี้ต้องมีใครมาโค่น เราจะต้องครองแชมป์ไว้ เราทำงานมา ตอนทำฮอร์โมนไม่คิดว่ามันจะดังหรือจะไม่ดังเราทำตามสเต็ป ทุกคนเป็นเด็กใหม่หมดเลย ไม่มีฐานแฟนคลับ มีแค่พี่แพทตี้ , พีช พชร ที่จะมีคนรู้จักอยู่แล้ว นอกนั้นหน้าใหม่หมดเลย มันมีสิทธิ์ที่จะไม่มีใครดู ไม่มีคนย้อมรับเลยก็ได้ แต่ด้วยความตั้งใจของทุกๆฝ่าย มันเลยทำให้งานออกมาดี ถามว่ากลัวคนมาโค่นไหม ก็ไม่กลัวนะ เพราะว่าไม่ได้ตั้งตำแหน่งหรือบัลลังก์ให้ตัวเองอยู่แล้วค่ะ

ผลงาน Master Peace ของฝน
ถ้าตอนที่ชอบเลยคงเป็น Hate Love ค่ะ ระหว่างการทำงานฝ่าฟันกันมามากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลา เช่นนัด 6 โมงเย็น เสร็จเที่ยงวัน เราต้องต่อสู้กับร่างกายตัวเอง ไหนจะบทที่มันยากมากๆอีก และในหนึ่งฉากมันจากหลายมุมมอง เราต้องเล่นซ้ำไป ซ้ำมา มันเหมือนได้พัฒนาว่าเราควรทำอย่างไรให้การแสดงมันสดใหม่ตลอดเวลา และเวลาเจอสถานการณ์ เช่น ตัวแม่ กับ ไทเกอร์ ไหนจะเรื่องน้อง เรื่องอะไรต่างๆ มันมีประเด็นที่ทำให้เราได้ศึกษามาขึ้น หรืออย่างพละ เป็น HIV ทุกคนได้มานั่งศึกษาร่วมกัน จริงๆแล้วสิ่งนี้มันคืออะไร เราอยู่ร่วมกันอย่างไร เราได้ความรู้ข้อมูลใหม่ๆเข้ามาด้วยค่ะ

เบื้องหลังการทำงานหนักที่คนไม่รู้
ความยาก มันไม่ได้ยากที่เราคนเดียวค่ะ เราต้องไปเจอคู่เล่นใหม่ๆ บางทีเราไม่รู้จักกันมาก่อน อาจจะรู้จักจากการเห็นเขาทำงานนั่นนี่ แต่เราไม่ได้รู้จักว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาดุไหม คุยยากไหม มันต้องมีการปรับตัว เราต้องทำความรู้จักกับคนอื่นๆให้ได้เร็วที่สุดค่ะ เพื่อที่จะได้รู้วิธีการคุยกัน สมมุติว่าเราทำงาน มีปัญหาขึ้นมาเราจะคุยกันอย่างไร ปรึกษากันแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในกองถ่าย เรื่องเวลา ฝนตก แดดออก ถ่าย outdoor ถ่าย indoor เป็นนักแสดงไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา ถ้าออกกองมันก็จะมีไปถ่าย outdoor และอยู่ข้างนอกทั้งวัน พี่ๆทีมงานก็ตากแดด ตากลม เผชิญทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยกัน มันไม่เหมือนงานอีเว้นท์ มันถือว่าเป็นงานที่ง่ายที่สุดของการทำงานนะ แต่งตัว ออกไปสัมภาษณ์ ถ้าเป็นสายร้องเพลง อาจจะมีโชว์ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้ว แต่พอมาออกกอง ทุกอย่างมันคืองานที่เราต้องทำอะไรใหม่ๆตลอดเวลา ก็ต้องปรับตัวค่ะ

ฝากผลงานที่จะได้ติดตาม
ประมาณกลางเดือนกันยายน กำลังจะมีภาพยนตร์คู่กับ พีช พชร ค่ะ ชื่อเรื่อง ไบค์แมนศักริน ตูดหมึก เป็นแนวคอมเมดี้ค่ะ จริงๆฝนเล่นหนังเรื่องแรกตอนนั้นเป็นสายคอมเมดี้ คนจะเห็นเราเป็นคนตลก พอห่างหายจากภาพลักษณ์นั้นไปคนไม่เห็นเราในมุมนั้นอีก จริงๆแล้วเป้นคนโก๊ะๆคนก็จะเห็นอีกมุมหนึ่งที่คาดไม่ถึง หรือว่าไม่เคยเห็นเลยถ้าเกิดว่าไม่เคยดูผลงานเก่าๆ เรื่องนี้เป็นนางเอกเรื่องแรกด้วยค่ะ และจะเห็น พชร พลิกบทบาทเหมือนกันค่ะ มีนักแสดงที่รับส่งมุขกันเต็มกองไปหมดเลยค่ะ