วันนี้ Kazz Magazine และ “เอม – สาธิดา” มีนัดหมายจะพบกัน
ตลอดเวลากว่า 4 ปีในวงการบันเทิงของเธอ เราได้มีโอกาสได้ร่วมงานมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แน่ใจได้เลยว่าทุกความเคลื่อนไหวของเธอคือสิ่งที่เราไม่เคยพลาด ฉะนั้นเมื่อวันนี้โอกาสในการพูดคุยวนกลับมาหาเราและเอม แง่มุมใดในตัวนักล่าฝันคนนี้อีกเล่าที่เรายังไม่รู้ นี่คือสิ่งที่เราสงสัย…
ความตั้งใจในการทำงาน… เรื่องนี้เราก็ได้รับรู้กันแล้วจากผลงานที่ผ่านมาของเธอ หรือจะเป็นเรื่องของความรัก… เราก็เคยได้รับรู้กันแล้วว่ามุมมองต่อความรักของเธอมันช่างสวยงามเพียงใด (หากใครคิดว่ายังไม่ทราบ ขอแนะนำให้ตามหา Kazz Magazine 137 หน้าปก เอม แม็กซ์ ตุลย์ มาอ่านกันดู)
พัฒนาการที่มีให้เห็นอย่างต่อเนื่องของเธอจึงเป็นประเด็นหลักของการพูดคุยในวันนี้ เราได้มีโอกาสเห็นเอมในชุดครุยแล้วเมื่อ 4-5 ปีก่อน และในอนาคตอันใกล้ เราคงจะได้มีโอกาสอีกครั้ง (คิดว่าเราน่าจะได้เห็นแน่ๆ) เพราะนอกจากจะเป็นนักร้อง นักแสดง ดีเจ วีเจ และอื่นๆ อีกมากมายแล้ว เธอยังเป็นนิสิตปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย
“ปีหน้าเอมอยากทำเพลง”
เอมเริ่มต้นการพูดคุยด้วยเป้าหมายที่ไม่เปลี่ยนแปลง แววตามุ่งมั่นยังคงเดิมราวกับช่วงชีวิตในการเป็นนักล่าฝันของเธอยังไม่ผ่านพ้นไป แม้จะได้ครองตำแหน่งสุดยอดนักล่าฝันมาแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน
“ด้วยความที่เราตั้งใจทำเพลงมากอะ แล้วก็ความฝันเราอยู่ตรงนั้น เราตั้งใจจะโฟกัสเรื่องเพลง เอมอยากทำ 2 เพลงเลยนะในปีหน้า เพราะมันมีสองสไตล์ คือหนึ่ง สไตล์ที่ตัวเองอยากทำ กับสอง สไตล์ที่สังคมอาจจะชอบ นักร้องทุกคนอะจะเป็น คือเราจะมีเพลงที่เราอะอยากทำ แต่ทุกคนจะบอกว่า ทำไปคนอื่นก็ไม่ชอบหรอก กับเพลงที่แบบคนอื่นบอกว่าดัง แต่เราร้องเพลงไปโดยที่เราไม่ได้ชอบ เราคิดว่าการได้เป็นตัวเอง ทำเพลงแบบที่เราชอบจริงๆ เราก็น่าจะมีความสุขถ้ามีคนที่ชอบ เอมอยากลองทำเพลงที่มันเป็นตัวเรา เอมชอบเพลงที่มันสนุก มีแร็ป แต่ผู้หญิงแร็ป ไม่รู้ว่าตลาดจะรับไหม”
โลกที่กว้างกว่า
“สำหรับเอม ปีนี้จะเป็นปีของการเดินทางเลยค่ะ เริ่มต้นที่เดือนกุมภาพันธ์ เอมจะไปถ่ายละครที่อียิปต์ แล้วก็มีไปสัมภาษณ์หนัง ไปแฟนมีตที่ฟิลิปปินส์ แล้วก็ไปสัมมนางานของคณะ ฉะนั้นเอมรู้สึกว่าเอมจะได้เจอโลกเยอะมาก จะได้เจอผู้คนที่แตกต่างจากที่เราอยู่ตรงนี้ แล้วก็จะได้เจอโลกที่กว้างขึ้น ถ้ามีโอกาสเอมอยากจะไปเรียนเต้นที่เกาหลี คือแพลนไว้เป็นเดือนหรือสองเดือน แต่ต้องถามทรูก่อนว่าจะไล่หนูออกหรือเปล่าถ้าหนูไปนานขนาดนั้น (หัวเราะ)”
“มันเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้ไปเห็นโลกกว้าง เพราะในตอนนี้ที่เราเป็น ‘เอม – สาธิดา’ การอยู่ที่เดิมๆ มันทำให้เราเข้าใจว่าเราเก่ง เราเข้าใจไปเองว่าคนรู้จักเรา เราเข้าใจว่าเราโอเคแล้ว ในเมื่อเรามีสังกัด สังกัดดูแลเราอยู่ บอกเรา ‘เฮ้ย เอม ไปทำอันนี้สิ เอมไปทำอันนี้สิ’ เรานิ่งนอนใจเกินไปว่าโลกเรามีอยู่แค่นี้ แล้วเรามีแฟนคลับที่รักเราแล้วอะ บางทีเราก็รู้สึกว่า ‘เฮ้ย ยืนอยู่ที่เดิมก็โอเคแล้วนี่ ไม่เห็นต้องหาอะไรเพิ่มเลย’ แต่พอเราได้มีโอกาสไปที่อื่น ไปร่วมงานกับคนใหม่ๆ ไปในที่ที่ไกลและต่างออกไป เราได้เห็นว่าคนอื่นเก่งแค่ไหน คนอื่นเขาดีกว่าเราแค่ไหน มันก็เป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกว่า เราต้อง Push ตัวเองเพื่อที่จะดีขึ้นในทุกๆ วัน ถ้าเรายังอยากอยู่ตรงนี้”
“เอมเคยไป LA ครั้งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นมันจะก้าวกระโดดมาก ไม่ใช่คนไทยไม่เก่งนะ เขาเรียกว่า โอกาสของเรามันไม่เท่ากัน คนไทยโอกาสมันน้อย โรงเรียนเราน้อยกว่าที่อื่น เอมไปเพราะเอมอยากรู้ ไปเพราะอยากจะรู้ให้มากกว่าที่รู้อยู่แล้ว อีกที่ที่เอมไปมาก็คือเกาหลี ได้ไปเรียนมา 3-4 คลาส แล้วก็มีความสุข (ยิ้ม) ตรงนั้นมันคือการได้ไปเต้นกับคนที่ไม่รู้จักเราเลยอะ ไม่มีใครรู้ว่าเราคือใคร แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร ไม่ต้องแคร์เลยนะว่าเราจะเต้นผิด เต้นถูก ไม่ต้องสนใจเลยว่าใครจะรู้จักเราไหม มันต่างออกไปจากตอนที่อยู่ไทย ในเมื่อเราคือ ‘เอม – สาธิดา’ นะ ทุกคนจะรับรู้ว่าเอมเต้นได้ การเต้นคือสิ่งที่เอมทำได้ดี ทุกคนจะมองเวลาเราเต้นด้วยความคาดหวังว่า มึงต้องเต้นดีนะ แต่เราก็ไม่ได้เก่งในทุกแนวไง แต่เราไปที่นู่นเราสามารถเต้นอะไรก็ได้ เราจะเต้นแบ๊วก็ได้ (ยิ้ม) คนก็จะไม่ตัดสินเรา”
วัยที่ต้องเริ่มจริงจังกับชีวิต
“25 มันเป็นวัยที่ต้องเริ่มจริงจังกับชีวิตแล้วอะ ที่ผ่านมาเรามีความสุขไปกับความฝันมากๆ เอมทำเต็มที่มากตั้งแต่วัย 20 ขึ้นมา เหมือนได้ทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เล่นละคร เล่นซีรีส์ ทำพิธีกร เป็นดีเจ เป็นวีเจ มันได้ทำทุกอย่างที่เราฝันมาตอนเด็กๆ เรียบร้อยละ เอมไม่เคยคิดว่าอยากจะดัง เราแค่อยากมีความสุขกับความฝันเรา แล้ววันนี้ มันครบแล้ว วันนี้เอาจริงๆ ตายไปก็แฮปปี้แล้วอะ (ยิ้ม) เอมได้ทำทุกอย่าง ยกเว้นแต่งงานมีลูกอะนะ แต่อย่างอื่นได้ทำหมดแล้ว แฮปปี้มาก แล้วก็อยากมองอนาคตให้มั่นคง”
ความมั่นคงที่มาพร้อมกับความสุข
“เอมรู้สึกว่าเด็กมันเก่งขึ้นทุกวันอะ เราเองก็อายุเยอะขึ้นทุกวัน ไม่ใช่ว่าเราอยู่กับที่แล้วไม่มีใครตามเรามา ทุกวันนี้มันมีคนที่พร้อมจะแทนที่เอมเสมออยู่แล้ว มันมีคนพร้อมจะเก่งกว่า สวยกว่า ขาวกว่า ล้อเล่น (หัวเราะ) ทั้งหมดนี้มันก็คือการทำยังไงให้เขายังเลือกเรา ทุกวันมันคือการแข่งขัน ไม่ว่าจะแข่งกับคนอื่นหรือแข่งกับตัวเอง การแข่งขันมันต้องเกิดขึ้นเสมอ อย่างวันนี้เราเล่นละคร ผู้กำกับชมเราว่าเล่นดี พรุ่งนี้ทำยังไงให้เราดีกว่าเดิม เพราะถ้าเรารู้สึกว่ามันดีแล้วนะ เราก็ไม่มีการพัฒนา มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านการร้องเพลง ด้านการแสดง หรือการเต้น เราก็จะเรียนเพิ่มเติมเสมอ ให้มันดีขึ้น”
“ชีวิตมันมีหลายด้านน่ะสำหรับเอม มันไม่ใช่แค่ว่าเราอยู่กับความฝันแล้วมันจะพอ เอมก็เลยเรียนปริญญาโทเพื่อจะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต เอมเรียนที่จุฬาฯ เป็น Strategic management หรือด้านการจัดการการสื่อสาร ก็คือจะตอบโจทย์ทุกด้าน ไม่ว่าเราจะ PR หรือว่าอยู่สายงานโฆษณาก็ทำได้ ถ้าจบไปแล้ว ในวันหนึ่งที่ชีวิตเราไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้มาร้องเพลงแล้ว เราก็ต้องกลับมาทำงานที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นช่วยคุณพ่อทำรายการทีวี หรือว่าจะทำเบื้องหลัง เอมเป็นคนชอบทำงานเบื้องหลังด้วยน่ะ ไม่ว่าจะเป็นทีวี หนัง ก็อยากเป็นเหมือนโปรดิวเซอร์ (ยิ้ม) เอมก็มองอนาคตตัวเองเอาไว้นะ ในวัยที่เราโตขึ้นกว่านี้”
ไม่ได้เรียนเพราะอยากจบ แต่เรียนเพราะอยากรู้
“คือเพื่อนในวัยปริญญาตรีเนี่ย มันก็จะมีเด็กที่ขยัน เด็กที่ไม่อยากเรียน คือต้องบอกว่าเรียนปริญญาตรี คนที่เข้าไปเรียนมันมีหลายรูปแบบ มันมีคนที่ ‘เอาวะ ยังไงปริญญาตรีเราต้องจบ’ แต่ปริญญาโทมันต่างไป เพราะทุกคนที่มาเรียนเขาอยากเรียน ทุกคนตั้งใจเรียน และทุกคนทำงานประจำแล้ว ดังนั้นเราก็จะเห็นคุณค่าของการไปเรียน เราใช้เงินตัวเองเรียน ฉะนั้น การที่เราใช้เงินตัวเองเรียนกับใช้เงินพ่อแม่เรียนความรู้สึกมันจะต่างกัน มันจะทุ่มเทมากกว่า แล้วมันจะจริงจังกับการเรียนมากกว่า มันจะไม่ใช่การไปเรียนให้จบๆ แต่ว่าเราอยากที่จะไป เพื่อเอาความรู้ของครูมา ครูก็เก่งมากๆ นะคะ เราก็รู้สึกว่าทุกความรู้ที่ครูให้เรามา เราเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านดีเจ ไปพูด หรือว่าด้านอื่นๆ มันใช้ได้หมดเลย”
เอมคนเดิม เพิ่มเติมคือเก่งขึ้น
“เอมรู้สึกว่าเอมไม่ได้เก่งขึ้นนะ แต่เอมเข้าใจมากขึ้น อย่างการแสดง เรารู้สึกว่าไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องการแสดง มันคือความเข้าใจ การแสดงมันคือการอยู่กับโมเมนต์ในซีน แค่นั้นเอง เราก็เล่นไป แต่ก่อนเราไม่เข้าใจ เราก็คิด อย่างนู้นอย่างนี้ คือ ทุกคนถ้าเข้ามาทำงานตรงนี้มันต้องเข้าใจ เข้าใจในงาน แล้วจะทำได้ อย่างเราเอง แต่ก่อนเราก็กลัวการแสดงมาก การที่เป็นคนอื่นมันยากกว่าการเป็นตัวเอง มันยากกว่าการเป็นนักร้องอยู่แล้ว การเป็นนักร้องมันคือการเป็นตัวเองบนเวที แต่พอเราได้ทำ เราก็เริ่มหลงรักการแสดง เออ เรามีความสุขอะ เรามีความสุขกับทุกๆ งานที่เราทำไป มันก็จะแฮปปี้”
แม้คนนอกที่มองเข้ามาจะมองว่าชื่อของ “เอม – สาธิดา” ในวันนี้ประสบความสำเร็จแล้วในฐานะคนบันเทิงคุณภาพคนหนึ่ง แต่สำหรับเธอ โลกยังกว้างใหญ่มากเกินกว่าที่จะบอกตัวเองให้พอใจกับวันนี้ และโชคดีเหลือเกินสำหรับเราที่เอมไม่เคยหยุดพัฒนา เราจึงได้เห็นเอมในขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ได้เก่งขึ้น แต่เข้าใจมากขึ้น เอมนิยามพัฒนาการของเธอแบบนั้น
และยังคงไม่หยุดพัฒนา จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เธอยังคงต่อสู้กับตัวเองอย่างตั้งใจ
………………….